โควิด-19 (ไวรัสโคโรนา) vs ไข้หวัดธรรมดา ต่างกันอย่างไร?

โควิด-19 (ไวรัสโคโรนา) vs ไข้หวัดธรรมดา ต่างกันอย่างไร?

โควิด-19 (ไวรัสโคโรนา) vs ไข้หวัดธรรมดา ต่างกันอย่างไร?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

โควิด-19 (โคโรนาไวรัส) หลังจากเริ่มแพร่ระบาดในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ไม่นานก็ลุกลามไปยังหลายประเทศ รวมถึงในประเทศไทย ที่พบผู้ติดเชื้อจากโคโรนาไวรัสหลายราย

โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) เป็นเชื้อไวรัสที่เพิ่งถูกค้นพบ ซึ่งอาการเจ็บป่วย ค่อนข้างมีความใกล้เคียงกับ ไข้หวัดธรรมดา หรือ ไข้หวัดทั่วไป หลายคนที่มีอาการเจ็บไข้ได้ป่วย มีไข้ ไอ เจ็บคอ ในช่วงนี้ ก็มักวิตกกังวล สับสนว่า ไข้หวัดธรรมดา และ โควิด-19 (โคโรนาไวรัส) ต่างกันอย่างไร ?

ความแตกต่างของ ไข้หวัดธรรมดา และ โควิด-19 (โคโรนาไวรัส)

ไข้หวัดธรรมดา (Common Cold) และ โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 (Covid-19) เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนาเหมือนกัน โดยไข้หวัดทั่วไป มักเกิดจากไรโนไวรัสถึง 30-80% รองลงมาคือ โควิด-19 (โคโรนาไวรัส) 10-15% และระดับความรุนแรงของโรคแตกต่างกัน โดยโคโรนาไวรัส จะมีระดับความรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดามาก

สาเหตุของไข้หวัดธรรมดาและโควิด-19 (โคโรนาไวรัส)

ไข้หวัดธรรมดา มักเกิดจากเชื้อไวรัสไรโนไวรัส (Rhinovirus) 30-80% เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคกับจมูก คือหวัดธรรมดา พบบ่อยมากในเด็ก และไวรัสอีกชนิดที่เป็นสาเหตุของไข้หวัดคือ โคโรนาไวรัส (Coronavirus) 10-15% แต่เป็นไวรัสโคโรนาที่ค้นพบ และมีมานานแล้ว โดยมีการพบเชื้อไวรัสโคโรนาที่ติดต่อในมนุษย์แล้ว 6 สายพันธุ์

โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) เกิดจาก ไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ซึ่งทำให้มีอาการปอดอักเสบรุนแรงได้ โดยเป็นเชื้อไวรัสที่เพิ่งถูกค้นพบใหม่ นับเป็นสายพันธุ์ที่ 7 ของไวรัสโคโรนาที่ติดต่อในมนุษย์ โดยมีการรายงานเป็นทางการเมื่อ 3 มกราคม คศ. 2020 ว่าโรคปอดอักเสบที่ระบาดที่อู่ฮั่น ประเทศจีน มีสาเหตุจากไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019

อาการไข้หวัดธรรมดา

  • มีไข้ต่ำ ๆ น้ำมูกไหล ไอ จาม เจ็บคอ

อาการ โควิด-19 (โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019)

  • มีไข้ น้ำมูกไหล เจ็บคอ ไอ

  • มีเสมหะ เสมหะอาจจะมีเลือดติดเป็นเส้นสาย

  • หายใจเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก

  • ปวดเมื่อยตามตัว

  • อาจมีคลื่นไส้ ท้องเสียในบางราย

ความรุนแรงของไข้หวัดธรรมดา

ไข้หวัดธรรมดา มักไม่มีโรคแทรกซ้อนรุนแรง และไม่มีอาการที่รบกวนชีวิตประจำวันมากนัก มีอาการอยู่ไม่นาน หากดูแลร่างกาย พักผ่อนให้เพียงพอ อาการไข้หวัดจะค่อย ๆ หายไปเองใน 3-4 วัน

ความรุนแรงของโควิด-19 (โคโรนาไวรัส)

อาการรุนแรงที่สุดที่พบจากโคโรนาไวรัส คือ อาการปอดอักเสบอันนำไปสู่การเสียชีวิต ความรุนแรงของโรคแตกต่างกันตามความแข็งแรงของแต่ละคน เด็กอายุน้อย และวัยรุ่นจะมีอาการน้อยกว่าผู้สูงอายุ ผู้ที่เสียชีวิตเกือบทั้งหมดเป็นผู้สูงอายุ และมักมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับปอด หรือ โรคหัวใจการรักษาโรค โคโรนาไวรัส (โควิด-19) กับ ไข้หวัดธรรมดา

การรักษาโรคติดเชื้อโควิด-19 (โคโรนาไวรัส)

  • หากตรวจพบว่ามีเชื้อ โคโรนาไวรัส สายพันธุ์ใหม่ 2019 ให้รับผู้ป่วยไว้รักษาในห้องแยกที่มีความดันอากาศในห้องเป็นลบ ซึ่งมีอยู่แล้วในโรงพยาบาลขนาดใหญ่หรือโรงพยาบาลศูนย์

  • ผู้ป่วยสวมหน้ากากอนามัย ทางแพทย์จะให้การรักษาแบบประคับประคอง มีการให้ออกซิเจนหรือใส่ท่อช่วยหายใจตามความจำเป็น เป็นต้น

  • ผู้ป่วยที่สงสัยว่าติดเชื้อ จะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทันทีและห้ามผู้ป่วย เดินทางไปทำงานหรืออยู่ที่บ้านโดยเด็ดขาด

  • โรงพยาบาลต้องมีการวิธีกำจัดเชื้อไวรัส ในพื้นที่และสถานที่โดยรอบที่ตรวจพบเชื้อ

  • แพทย์ต้องรายงานผลการตรวจผู้ป่วยทุกรายที่พบการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และ สสจ. ในแต่ละจังหวัดด้วย

การรักษาไข้หวัดธรรมดา

  • พักผ่อนให้มากขึ้น

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

  • ให้ยารักษาตามอาการ เช่น

    • กินยาลดไข้ เช่น แอสไพริน หรือพาราเซตามอล

    • ยาลดน้ำมูก เป็นยาที่ใช้ร่วมกับยาแก้ปวดและยาแก้คัดจมูก ช่วยให้ไข้หวัดหายได้เร็วยิ่งขึ้น

    • ยาแก้ไอ คือยาที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการไอมีเสมหะ ซึ่งจะช่วยให้เสมหะนิ่มลงและขับออกได้ง่ายขึ้น

การป้องกันโควิด-19 (โคโรนาไวรัส)

การดูแลป้องกันตัวเองของไข้หวัดธรรมดา และ โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 ไม่ต่างกัน เพราะไวรัสสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ จากการถูกไอ จาม หรือสัมผัสกับสารคัดหลั่งของคนที่ป่วย

  • ควรใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกัน เมื่อต้องเดินทางออกไปนอกบ้าน เพราะเชื้อไวรัสนี้ติดต่อผ่านทางลมหายใจ สารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย ใส่หน้ากากอนามัยนอกจากป้องกันสารคัดหลั่งจากน้ำมูกน้ำลาย ยังป้องกันไม่ให้เราเอามือเข้าปากโดยไม่รู้ตัว

  • หมั่นล้างมือให้สะอาดเป็นประจำด้วยสบู่ หรือเช็ดด้วยแอลกอฮอล์ เจลแอลกอฮอล์ ซึ่งควรมีปริมาณแอลกอฮอล์ 70-75% ขึ้นไป

  • ไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยที่ไอ จาม หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด และมีมลภาวะเป็นพิษ

  • ไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก และไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ฯลฯ

  • กินอาหารปรุงสุกใหม่ ไวรัสโคโรนาจะหมดสภาพลงอย่างรวดเร็วเมื่อถูกความร้อน เมื่อได้รับความร้อนที่ 75 องศา เพียง 5 นาที ดังนั้นควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ จะช่วยป้องกันได้

  • รีบไปพบแพทย์ถ้ามีอาการไข้ หากมีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะหากเพิ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศ โดยหลังเดินทางกลับถึงประเทศไทย ภายใน 14 วัน ถ้ามีอาการไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ให้สวมหน้ากากอนามัย และรีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทาง เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนปอดบวม และมีอาการรุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิตได้

อ่านเพิ่มเติม

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook