คุณกังวลเรื่อง "โควิด-19" มากไปจนส่งผลต่อสุขภาพจิตอยู่หรือเปล่า?

คุณกังวลเรื่อง "โควิด-19" มากไปจนส่งผลต่อสุขภาพจิตอยู่หรือเปล่า?

คุณกังวลเรื่อง "โควิด-19" มากไปจนส่งผลต่อสุขภาพจิตอยู่หรือเปล่า?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แพทย์เตือน ตระหนกโควิด-19 มากไป ส่งผลต่อสุขภาพจิต แนะปฏิบัติตามหลัก 3 สร้าง “สร้างความปลอดภัย ความสงบ  ความหวัง” เชื่อไทยรับมือวิกฤตได้ดี วิเคราะห์ยุโรปยอดพุ่ง ต้นเหตุขาดการสื่อสารให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย

นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และอดีตกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ในสถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า เราสามารถจำแนกสภาพจิตใจของคนได้ 3 ประเภท ดังนี้

  1. กังวลน้อยไป กลุ่มคนเหล่านี้มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อมากกว่าคนอื่น เพราะไม่ปฏิบัติตามหลักแนะนำ พาตัวเองเข้าไปในสถานที่เสี่ยง แออัด เช่น สนามมวย คลับบาร์ ขนส่งสาธารณะ ฯลฯ โดยปราศจากการป้องกันตัวเอง

  2. กังวลมากเกินไป อาการที่บ่งชี้ว่าเริ่มวิตกกังวลมากไป บางรายอาจเริ่มรู้สึกนอนไม่หลับ ไม่กล้าออกไปไหนมาไหนตามปกติ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต อย่างเช่นปรากฏการณ์กักตุนสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจ ทั้งที่ความเป็นจริงเรายังสามารถออกไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแต่ต้องป้องกันตัวเองด้วยการสวมหน้ากากผ้า ล้างมือบ่อยๆ คำนึงถึงระยะห่างทางสังคม “Social Distancing” และเมื่อกลับมาที่พักควรอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาดทันที

  3. กังวลพอดี กลุ่มคนเหล่านี้คือรากฐานสำคัญของสังคม เพราะมีความเข้าใจที่ถูกต้องในการดูแลตัวเอง เป็นแบบอย่าง และช่วยแนะนำกลุ่ม 1, 2

สถานการณ์เช่นนี้คนไทยควรคำนึงถึงหลัก 3 สร้าง ได้แก่

  • สร้างความปลอดภัย ด้วยหลักล้าง เลี่ยง ลด

  • สร้างความสงบ ไม่ตื่นกลัว จัดเวลา รับและส่งต่อข้อมูลข่าวสารจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น

  • สร้างความหวัง ให้พลังสื่อมวลชนในการนำเสนอข่าวเชิงบวก ตัวอย่างที่ดีๆ และทางออกของปัญหา

นพ.ยงยุทธ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยถือว่ารับมือการระบาดระยะที่ 2 ได้ดีและนานพอสมควร หากเข้าสู่เฟส 3 อาจจะไม่รุนแรงมากเมื่อเทียบกับหลายๆประเทศ โดยในส่วนของยุโรปนั้นเราได้บทเรียน มาพอสมควร ที่ผ่านมาคนยุโรปส่วนใหญ่เชื่อว่าการสวมใส่หน้ากากอนามัยต้องเป็นคนป่วยเท่านั้น ทั้งที่จริงแล้วสามารถป้องกันคนทั่วไปจากการรับเชื้อไวรัสโคโรน่าได้ ควบคู่กับการล้างมือและสร้างระยะห่าง ทางสังคม ดังนั้นประสบการณ์ที่ประเทศไทยมีเช่นเดียวกับประเทศที่รับมือกับการสื่อสารได้ดีและมียอดผู้ติดเชื้อน้อยคือสิงคโปร์และไต้หวัน ทำให้ทั่วโลกรับรู้ความสำคัญของการใช้หน้ากากอนามัยในบุคคลทั่วไปมากขึ้น และเชื่อว่าด้วยความร่วมมือของรัฐ บุคลากรทางสาธารณสุขและประชาชนจะช่วยให้ก้าวผ่านพ้นวิกฤตนี้ร่วมกันไปได้ เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่เคยระบาดในปี 2009

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook