แม่วอน! ลูกจากไปเพราะดื่มแล้วขับ ขอให้เป็นเรื่องเศร้าครั้งสุดท้าย

แม่วอน! ลูกจากไปเพราะดื่มแล้วขับ ขอให้เป็นเรื่องเศร้าครั้งสุดท้าย

แม่วอน! ลูกจากไปเพราะดื่มแล้วขับ ขอให้เป็นเรื่องเศร้าครั้งสุดท้าย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราจะได้ยินเรื่องราวของคุณแม่คนหนึ่ง ที่สูญเสียลูกชายไปจากอุบัติเหตุ เพราะไม่ได้คาดเข็มขัดและมีอาการเมาจากการดื่มสุรา

แต่เราจะบอกให้ทุกคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยว่าจงขับรถให้ปลอดภัย และคาดหวังว่าจะเป็นอย่างนี้ทุกครั้งได้อย่างไร จะทำอย่างไรที่จะให้ทุกคนได้รับรู้ว่า ทุกครั้งที่เมาแล้วขับ นั่นเท่ากับว่าคุณกำลังก้าวเท้าข้างหนึ่งเข้าสู่โลกหลังความตายแล้ว?



คุณตุ้ม-ชุลีพร คูยิ่งรัตน์ คุณแม่ผู้เข้มแข็ง บอกกับเราว่า “มันก็ต้องเดินหน้าต่อ” ในวันที่น้องอาร์ม ลูกชายจากไปกว่าสองปีแล้ว เขาเสียชีวิตขณะอายุ 22 ปี เรียนอยู่ปี 4 คณะดุริยางค์ศิลป์ มหาวิทยาลัยพายัพ เขาเป็นเด็กหนุ่มอนาคตไกล มีพรสววรค์ และเป็นดั่งเจ้าชายน้อยๆของเธอ

“แม่ได้รับโทรศัพท์ตอนตีห้าว่าลูกชายประสบอุบัติเหตุ หยิกตัวเองตลอดว่าขอให้ฝันๆ พอไปถึงหน้าห้องฉุกเฉินก็ฟาดตัวเองแรงที่สุด พอเจ็บก็ต้องยอมรับแล้วว่านี่ไม่ใช่ความฝัน คุณหมอเดินออกมาถามว่า ‘มีญาติมาไหมครับ’ คุณหมอพูดแค่นั้นเราก็พอรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เลยถามคุณหมอไปว่า น้องหลับไปแล้วใช่ไหมคะช่วยเอาทุกอย่างที่รบกวนร่างกายของเขาออกที”

เสียใจที่สุดแต่ก็ยังพยายามฝืนสู้ “ขอบคุณที่ลูกไม่ต้องทุกข์ทรมาน” นี่คือมุมมองที่พยายามจะมองบวกในวันที่เธอบอกว่าทุกข์ที่สุด ถามว่าช่วยได้ไหม ตอบเลยว่าช่วยไม่ได้หรอก แม่ที่ต้องมาเผาศพลูก แต่สิ่งที่ต้องทำคือยอมรับความจริงแม้ว่ามันจะเจ็บปวด

“เวลาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ คนที่เจ็บปวดที่สุดคือพ่อแม่ คุณไม่ได้เอาเฉพาะร่างกายของตัวเองไป แต่คุณเอาหัวใจของคนที่รักคุณไปด้วย มันเป็นการพลัดพรากที่ไม่มีการร่ำลา”

เธอบอกว่าก่อนหน้านี้เพิ่งคุยกันสนุกสนาน และก็เหมือนกับคำพูดที่ว่า “ชีวิตเบาบางดุจขนนก” เพราะไม่กี่ชั่วโมงต่อมาลูกชายก็จากไปตลอดกาล



“วันนั้นลูกดื่มหลังจากเล่นดนตรีเสร็จตอนตีหนึ่ง แล้วขับรถไปดอยสะเก็ด ดื่มต่อจนถึงตีห้า จากนั้นขับรถกลับบ้าน ปกติลูกเป็นคนดื่มตามมารยาท แต่วันนั้นเรียกได้ว่าดื่มดับเบิ้ลเลย”

เหตุการณ์วันนั้นคือ ลูกชายขับปิกอัพบนถนนสองเลน ไม่มีเกาะกลางถนน ไม่มีไหล่ทาง เขาขับแซงขวาขึ้นเพื่อกะให้พ้น แต่ปรากฏว่าบีเอ็มคันหน้าก็หักหลบขวาเช่นกัน เพราะไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย ร่างของเขาตกไปอยู่ตรงหลังรถ เสียชีวิตทันที

“แม่จะบอกลูกตลอดว่า เวลาขับรถอย่าลืมคาดเข็มขัดนิรภัย และเขาก็คาดเข็มขัดทุกครั้ง วันนั้นคงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ เลยทำให้ลืมคาดเข็มขัด”

“ปกติแล้วลูกเป็นคนมีระเบียบวินัย ขับรถได้นุ่ม มีมารยาทที่สุด แต่วันที่เกิดอุบัติเหตุ คุณแม่รู้เลยว่าสติสำคัญที่สุด”

“สติในเสี้ยววินาที” คือคำที่เธอใช้ และอยากให้ทุกคนได้เรียนรู้อย่างจริงจังว่านี่คือสิ่งที่มีค่าที่สุดยามอยู่หลังพวงมาลัย

ทำอย่างไร คนที่คุณรักถึงจะกลับบ้านอย่างปลอดภัย
1. ไม่ดื่มเหล้า
ดื่มแล้วขับ จะทำให้ความสามารถในการขับขี่ลดลง การตัดสินใจและการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินจะช้าลงกว่าปกติ 8 เท่า สายตาพร่ามัว ทัศนวิสัยในการมองเห็นโดยเฉพาะในช่วงกลางคืนลดลง จึงเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ

2. คาดเข็มขัดนิรภัย
เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูงโดยไม่คาดเข็มขัดนิรภัย หากเกิดอุบัติเหตุ ตัวของผู้ขับขี่จะพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว ในลักษณะใกล้เคียงกับการตกจากตึกสูง ร่างกายส่วนบนจะกระแทกกับพวงมาลัย ศีรษะกระแทกกับกระจก ขาส่วนบนยันกับหน้าปัด เป็นเหตุให้ขาหักและกระดูกเชิงกรานเคลื่อน ทำให้ได้รับบาดเจ็บรุนแรง จนอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

เข็มขัดนิรภัยยังช่วยป้องกัน ไม่ให้ผู้ประสบเหตุหลุดออกนอกรถ เพราะหากหลุดออกนอกตัวรถจะทำให้มีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าคนที่อยู่ในรถถึง 6 เท่า

ผ่านไป 2 ปี ในวันที่เข้มแข็งขึ้นมาก คุณแม่ร่วมมือกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่าย ถ่ายทอดความรู้สึกลงในคลิป “กลับบ้านปลอดภัย” เพื่อบอกสิ่งที่เธออยากให้คนขับรถทุกคนรับรู้ และภาวนาอย่ามีใครต้องเป็นอะไรอย่างลูกชายเธอเลย

เธอหวังว่าสิ่งที่ทำครั้งนี้ จะช่วยเตือนสติคนใกล้ๆตัว และทุกคนให้กลับบ้านปลอดภัยในปีใหม่นี้ และอย่าลืมว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเสี้ยววินาทีจริงๆ”

 

 

 

 

[Advertorial]

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook