4 เคล็ดลับดัดนิสัยลูกน้อย “ติดหวาน” ให้ห่างไกลฟันผุ

4 เคล็ดลับดัดนิสัยลูกน้อย “ติดหวาน” ให้ห่างไกลฟันผุ

4 เคล็ดลับดัดนิสัยลูกน้อย “ติดหวาน” ให้ห่างไกลฟันผุ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     เมื่อพูดถึงปัญหายอดฮิตในวัยเด็ก จะต้องมี “ฟันผุ” รวมอยู่ในลิสต์ด้วยแน่ๆ ซึ่งเหตุแห่งฟันผุจะมีอะไร นอกเสียจากการกินขนม ลูกอม หรือของหวานสุดเลิฟของเด็กๆ แต่ความหนักใจของผู้ปกครองไม่ได้มีแค่ปัญหาลูกติดหวานจนทำให้ฟันผุเพียงเท่านั้น แต่การกินอาหารที่มีรสชาติหวานในปริมาณมากและบ่อยเกินไปนั้น เป็นตัวการสำคัญที่ค่อยๆ ทำลายสุขภาพของลูกน้อย จนอาจทำให้เกิดฟันผุเรื้อรัง โรคอ้วน และยังเพิ่มโอกาสการเป็นโรคเบาหวานในอนาคตอีกด้วย

     ก่อนอื่นเราขอปูพื้นความรู้ให้เหล่าผู้ปกครองเข้าใจตรงกันก่อนว่า สาเหตุที่แท้จริงของการที่ลูกน้อยติดกินหวาน อาจมีต้นเหตุมาจาก “พ่อแม่” เพราะพ่อแม่บางคนก็มีพฤติกรรมติดของหวานเสียเอง จึงทำให้เด็กๆ มีโอกาสได้รับประทานของหวานและดื่มน้ำหวานบ่อยๆ หรือแม้กระทั่งการให้รางวัลต่างๆ กับลูกน้อยเป็นของหวาน ก็อาจทำให้เด็กๆ เข้าใจว่าการได้รับของหวานคือเรื่องที่มีความสุข น่ายินดี และอยากจะรับประทานอีกเมื่ออยากให้รางวัลกับตัวเอง จนทำให้เกิดการติดของหวานในที่สุด

 

     ทำไมติดหวานแล้วฝันผุ? แน่นอนว่าน้ำตาลที่ได้รับเข้าไปในร่างกายนั้น เป็นแหล่งพลังงานที่ดูดซึมง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็มีผลเสียตั้งแต่ด่านแรกที่เข้าไปในปาก เพราะน้ำตาลทำให้เกิดแบคทีเรียและคราบน้ำตาลหลงเหลืออยู่ในช่องปากหลังรับประทานอาหาร ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหา “ฟันผุ” นั่นเอง

     ในเมื่อการกินหวานมีแต่ผลเสียกับเสีย ผู้ปกครองจึงควรเปลี่ยนพฤติกรรมลูกน้อยเสียตั้งแต่วันนี้ Sanook! เองก็อยากมีส่วนช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยกันดัดนิสัยพฤติกรรมติดหวานของลูกหลานให้ได้ เราจึงนำ 4 วิธีดัดนิสัยคน “ติดหวาน” ได้ง่ายๆ มาฝากกัน

     1. จำกัดปริมาณขนม
     เริ่มต้นด้วยมาตรการจำกัดปริมาณของหวานที่ควรได้รับในแต่ละวัน หรือเป็นมื้อ เท่าที่จะควบคุมได้ เช่น กำหนดให้ลูกกินขนมได้ 1 อย่างในหนึ่งมื้อ หรืออนุญาตให้กินขนมได้เฉพาะตอนหลังเลิกเรียนเท่านั้น

     2. อย่าให้ของหวานเป็นรางวัลกับลูกบ่อยเกินไป
     คุณพ่อคุณแม่อาจจะเปลี่ยนวิธีการให้รางวัลแก่เด็กๆ จากการให้รับประทานขนม หรือของหวาน เป็นการออกไปทำกิจกรรมที่เด็กๆ ชอบ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว และเสริมสร้างพัฒนาการด้านอื่นให้เด็กๆ อีกทางหนึ่ง

     3. ปรับพฤติกรรมการกินหวานทีละน้อย
     ปรับพฤติกรรมบางอย่างของเด็กๆ ทีละน้อย เพื่อสร้างนิสัยใหม่ เช่น ให้รับประทานผลไม้ที่มีรสชาติหวาน แทนของหวานหลังมื้ออาหาร หรือฝึกให้เด็กๆ ดื่มน้ำเปล่าคู่กับมื้ออาหารหลัก หรือเปลี่ยนนมรสหวาน ที่เด็กๆ ชอบดื่มเป็นประจำ มาเป็นนมรสจืด ซึ่งดีต่อสุขภาพของเด็กๆ มากกว่า

     4. ดูแลสุขภาพฟันหลังจากรับประทานของหวาน
     เพราะฟันของเด็กๆ นั้นผุง่ายกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเคลือบฟันยังไม่แข็งแรงพอที่จะปกป้องฟันจากการทำลายของกรดน้ำตาลหลังรับประทานของหวาน ฉะนั้นการดูแลสุขภาพฟันหลังรับประทานของหวานจึงเป็นสิ่งจำเป็น แต่หากต้องบังคับให้เด็กๆ แปรงฟันหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง คงเป็นเรื่องยาก การกลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่มีฟลูออไรด์หลังกินของหวานจึงเป็นอีกทางเลือกที่ทำได้ง่ายกว่า

     ซึ่งการเลือกน้ำยาบ้วนปากที่เหมาะสำหรับเด็ก ควรเลือกรสชาติที่อ่อนโยน ไม่รุนแรงเกินไป ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และควรมีฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุ ลิสเตอรีน เนเชอรัล กรีนที เป็นหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ และเหมาะสำหรับเด็กๆ ตั้งแต่ 6 ขวบขึ้นไป ลูกน้อยจึงสามารถกลั้วปากได้เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ พร้อมทั้งมีฟลูออไรด์ช่วยให้ฟันแข็งแรงขึ้น 2 เท่า จึงปกป้องฟันเด็กๆ จากการเกิดฟันผุได้อย่างมั่นใจ และยังทำให้เด็กๆ รู้จักการดูแลสุขภาพช่องปากอีกด้วย นอกจากนี้ การหมั่นพาเด็กๆ ไปตรวจสุขภาพปากและฟันเป็นประจำทุก 6 เดือน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยดูแลและป้องกันฟันผุของลูกๆ ได้

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมที่ Link: www.listerine.co.th/listerine-natural-green-tea-mouthwash

 

[Advertorial]

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook