ช่องคลอดอักเสบ อันตรายที่เกิดขึ้นได้กับสาวโสดและไม่โสด

ช่องคลอดอักเสบ อันตรายที่เกิดขึ้นได้กับสาวโสดและไม่โสด

ช่องคลอดอักเสบ อันตรายที่เกิดขึ้นได้กับสาวโสดและไม่โสด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นอกจากอาการคัน ตกขาว และเชื้อรา ที่อาจทำให้คุณผู้หญิงต้องทนทรมานกับจุดซ่อนเร้นแบบที่ไม่กล้าบอกใครแล้ว ยังมีอาการผิดปกติอื่นๆ จากช่องคลอดที่เราอาจไม่ค่อยคุ้นเคยกันเท่าที่ควร แต่ก็มีโอกาสเป็นได้ทั้งกับสาวๆ ที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ หรือมีเพศสัมพันธ์แล้ว แม้ว่าจะดูแลตัวเองดีแค่ไหน แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ เพราะมันคืออาการ “ช่องคลอดอักเสบ” 

ช่องคลอดอักเสบ คืออะไร?

ช่องคลอดอักเสบ เป็นอาการที่ผู้หญิงพบตกขาวผิดปกติไปจากเดิม จากการที่บริเวณช่องคลอดมีอาการอักเสบ

ตกขาวแบบไหน ที่เรียกว่าผิดปกติ

ปกติตกขาวมักเป็นสีขาวขุ่น หรือใส มีปริมาณเพียงเล็กน้อย ไม่มีกลิ่นที่เหม็นผิดปกติ และไม่ทำให้เกิดอาการคัน แต่หากตกขาวมีสีอื่นๆ ไปจากนี้ เช่น สีเขียว สีเหลือง มีเลือดปน ทำให้บริเวณปากช่องคลอดคัน หรือมีกลิ่นเหม็น แสดงว่าตกขาวของคุณมีความผิดปกติ

ช่องคลอดอักเสบเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ

  1. อักเสบจากการติดเชื้อ

- เชื้อรา

- เชื้อแบคทีเรีย

- เชื้อพยาธิ

  1. อักเสบโดยไม่ได้ติดเชื้อ

- ขาดฮอร์โมนเพศหญิง

- ช่องคลอดแพ้สารเคมี

- พบสิ่งแปลกปลอมในช่องคลอด เช่น แผ่นอนามัย ผ้าอนามัยแบบสอด ห่วงคุมกำเนิด ถุงยางอนามัย ฯลฯ

ช่องคลอดอักเสบ จากเชื้อรา

ช่องคลอดอาจพบเชื้อราได้ เมื่อมีการใช้ผ้าอนามัยนานเกินไป ใส่เสื้อผ้าที่มีความสามารถในการระบายอากาศต่ำ อากาศร้อนอบอ้าว แม้กระทั่งร่างกายที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน หรืออ้วน เมื่อยืนหรือนั่งแล้วขาเบียดกัน อาจทำให้บริเวณจุดซ่อนเร้นอบอ้าว เปิดโอกาสให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดีเช่นเดียวกัน

อาการที่เด่นชัดที่สุด คือ อาการคัน คันมากจนต้องไปพบแพทย์ หรืออาจไปหาซื้อยามาทาภายนอก หรือยาสอดใช้เอง นอกจากนี้ยังอาจพบตกขาวผิดปกติ เป็นลักษณะเหนียวข้นคล้ายโยเกิร์ต หรือเกือบแห้งเหมือนแป้ง มีสีที่ไม่ใช่สีใส และสีขาวขุ่น และอาจมีกลิ่นเหม็น

อ่านต่อ >>

เชื้อรา...ปัญหาของตกขาวคันในสตรี

เช็คด่วน! “ตกขาว” ผิดปกติ เป็นอย่างไร

ช่องคลอดอักเสบ จากเชื้อแบคทีเรีย

เกิดจากการลดลงของแบคทีเรียชนิดแลคโตบาซิลไล ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียก่อโรคในช่องคลอด ทำให้แบคทีเรียก่อโรคมีจำนวนเพิ่มขึ้นจนเกิดการอักเสบของช่องคลอด สามารถเกิดได้กับสตรีที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ และมักเกิดซ้ำได้บ่อยถ้าไม่ได้แก้ไขสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยง

แม้จะไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่อาจมีความเสี่ยงจากการสวนล้างช่องคลอด คุมกำเนิดโดยการใส่ห่วงอนามัย และอาจเกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา หรืออาหารบางอย่าง เช่น ของหมักดอง ของคาวจัด

อาการที่เด่นชัด คือการพบตกขาวสีขาวเนียนปนเทาอ่อน มีกลิ่นคาวปลาเค็ม

ช่องคลอดอักเสบ จากเชื้อพยาธิ

เกิดจากเชื้อโปรตัวซัวที่ชื่อ ทริโคโมแนส วาจินาลิส แหล่งเชื้อมาจากน้ำอสุจิ  ตกขาวหรือสารคัดหลั่งจากช่องคลอด ติดต่อโดยการร่วมเพศ และสัมผัสทางเพศกับผู้มีเชื้อ

อาการของผู้หญิงจะเป็นการพบตกขาวสีเขียวปนเหลือง มีกลิ่นเหม็น มีอาการคัน และแสบรอบๆ ปากช่องคลอด อาจมีอาการปัสสาวะแสบขัด หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ ส่วนผู้ชายส่วนใหญ่จะไม่มีอาการอะไร แต่ในบางรายอาจมีเมือกใส หรือเมือกปนหนองไหล อาจมีอาการคัน และเจ็บท่อปัสสาวะได้

หากมั่นใจว่าเป็นการติดเชื้อจากคู่นอน ต้องเข้ารับการรักษาทั้งคู่

ช่องคลอดอักเสบ จากเหตุผลอื่นที่ไม่ใช่การติดเชื้อ

ทั้งจากการขาดฮอร์โมนเพศหญิง ช่องคลอดแพ้สารเคมี และการพบสิ่งแปลกปลอมในช่องคลอดจนทำให้เกิดอาการอักเสบ ต่างก็มีอาการเริ่มแรกที่พบตกขาวผิดปกติ และมีอาการคันเช่นเดียวกัน ดังนั้นควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง เพื่อทำการรักษาให้ตรงจุด

วิธีป้องกันอาการช่องคลอดอักเสบ

  1. อย่าใส่เสื้อผ้า (กางเกง) ที่หนา แน่น คับ หรือมีเนื้อผ้าที่อากาศไม่ถ่ายเทเป็นเวลานานๆ

  2. อย่าใช้ผ้าอนามัยเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นผ้าอนามัยใหม่ที่แห้ง ไม่อับชื้นอยู่เรื่อยๆ (แล้วแต่ปริมาณประจำเดือนในแต่ละวัน ของแต่ละคน)

  3. อย่าปล่อยให้ช่องคลอดชื้นแฉะอยู่ตลอดเวลา

  4. แผ่นอนามัย หากไม่จำเป็นไม่ควรใช้บ่อย หรือไม่ควรใช้ไปตลอดทั้งวัน เพราะส่วนใหญ่จะทำให้บริเวณช่องคลอดอับชื้น

  5. การออกกำลังส่วนต้นขา ให้ขาเล็กลง และลดน้ำหนัก จะช่วยลดความอับชื้นจากการที่ต้นขาเบียดกันได้

  6. รักษาความสะอาดบริเวณช่องคลอดอยู่เสมอ แต่ไม่ควรสวนล้างช่องคลอดเข้าไปด้านใน ควรล้างทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่าเฉพาะด้านนอกเท่านั้น

  7. ทำความสะอาดอวัยวะเพศด้วยการเช็ดด้วยกระดาษชำระจากด้านหน้าไปด้านหลัง เพื่อลดโอกาสในการติดเชื้อจากทวารหนัก

  8. หากมีตกขาวผิดปกติ มีอาการคัน หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ ก็ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ก่อน แล้วพบแพทย์

  9. ไม่ควรใช้ชุดชั้นใน (กางเกงใน) ร่วมกับผู้อื่น

  10. ไม่ควรซื้อยามาทาน ทา หรือสอดเอง เพราะควรได้รับการตรวจจากแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่ถูกต้องก่อน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook